top of page

Blog - News - Review - Promotion

เมื่อครั้งที่ส่ง "น้องสาวสุดฟรุ้งฟริ้ง" ไปเรียนอินเดียกว่าครึ่งปี


แอดมินพี่เบสท์ ขอเม้าส์

วันนี้ถึงคราวที่เบสท์จะมาเล่าในฐานะผู้ปกครองที่ตัดสินใจส่งน้องไปเรียนที่อินเดียบ้างค่ะ โดยเมื่อเกือบสองปีก่อน น้องสาวคนกลางของบ้านเรา "น้องเกม" เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ด้วยทักษะภาษาอังกฤษระดับแข็งแรงมาก (ประชด!) เราเริ่มปรึกษากันในบ้านถึงเรื่องส่งน้องไปพัฒนาภาษานอกประเทศไทย ประเทศไหนสักประเทศหนึ่ง แต่ตอนนั้นติดที่ว่าต้องรอเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรก่อน ซึ่งกำหนดการของมหาวิทยาลัยก็เลื่อนไปเลื่อนมา ระหว่างนั้นเกมก็ทำงานและเรียนภาษาอังกฤษ ช่วงเย็นและเสาร์ อาทิตย์ไปด้วยตลอด แต่มันก็แทบไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเลย

หนึ่งปีผ่านไปหลังจากเรียนจบ กำหนดการรับปริญญาก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ที่บ้านเลยคุยกันว่า ยิ่งรอก็เสียเวลาเปล่าแม้จะทำงานไปด้วย แต่เป้าหมายต่อไปคือ เรียนปริญญาโท ซึ่งถ้าจบปริญญาโท ที่ปัจจุบันใครๆก็เรียนได้นั้น มาแบบภาษาอังกฤษงูๆปลาๆ คงไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเอง เท่ากับการมีปริญญาโทพร้อมภาษาอังกฤษระดับสื่อสารได้ดีเป็นอย่างน้อย ดังนั้นเราจึงได้ตัดสินใจให้เกมลาออกจากงาน และส่งไปเรียนภาษาอังกฤษที่อินเดีย ณ เมืองมุมไบ

ครั้งนั้นมีเสียงคัดค้านมากกว่าเสียงสนับสนุนจากคนรอบตัว เพื่อนสนิทคนหนึ่งผู้ซึ่งต้องเดินทางไปอินเดียเกือบทุกเดือนเพื่อประสานงานกับบริษัทลูกที่นั่นถามเบสท์ว่า "แก ส่งน้องไปเรียนอินเดียนี่ คิดดีแล้วใช่มั๊ย?" นอกจากนั้นยังมีคำถามอีกมากมายจากคนรอบๆตัว เช่น "ส่งน้องไปดัดนิสัยหรอ?" "แกแกล้งน้องแกใช่ป่าวเนี่ย?" บ้างก็ถามว่าทำไมไม่ส่งไปออส/เมกา/หรืออังกฤษ จริงๆแล้ว ในหัวกลับมีอีกตัวเลือกนึงที่ไม่ค่อยมีใครนึกถึง นั่นคือ ฟิลิปปินส์ แต่จากข้อมูลที่เบสท์และน้องตั้มช่วยกันดู ช่วยกันหามาหลายเดือน พบว่าค่าเรียนที่ฟิลิปปินส์ แทบไม่ต่างจากออสมากนัก คือเพิ่มตังค์อีกนิดไปออสได้เลย ในขณะที่อินเดียมีค่าใช้จ่ายประหยัดมากกว่าครึ่ง และการที่ค่าเรียนไม่แพงนั้น ทำให้น้องได้ใช้เวลาเรียนได้เต็มที่ โดยไม่ต้องไปกังวลกับการต้องหางานพาร์ทไทม์ทำ เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากทางบ้าน หรือเมื่อนึกอยากออกไปเที่ยวต่างเมืองก็ไม่ต้องกังวลมากนักว่ามันจะสิ้นเปลือง เพราะค่าครองชีพแสนถูก อีกทั้งในหลายๆเมืองของอินเดีย ผู้คนชาวบ้านสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้อย่างแพร่หลาย แม้บางคนจะติดสำเนียงอินเดียบ้าง แต่คนที่อยู่ในสาย Academic จะใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก และแม้จะมีสำเนียงอินเดียบ้าง แต่อย่างไรก็น่าจะดีกว่าอังกฤษสำเนียงไทยเป็นแน่ และไม่ใช่เพียงเหตุผลด้านค่าใช้จ่ายอย่างเดียวที่ทำให้เลือกส่งน้องไปเรียนที่อินเดีย แต่เหตุผลสำคัญ คือเราสามพี่น้อง เบสท์ ตั้ม เกม มีนิสัยอย่างนึงที่คล้ายกันคือ ชอบลองอะไรใหม่ๆ มันตื่นเต้นและท้าทาย ทั้งๆที่ตอนนั้นเริ่มมีข่าวการข่มขืนนักศึกษาแพทย์ บนรถเมลล์กลางกรุงเดลีกำลังดัง ไม่ใช่ว่าเราไม่กลัวหรือไม่ห่วงน้อง แต่การหาข้อมูลอย่างหนักของเราสามคนทำให้เห็นและเข้าใจ วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเค้า เมืองไหนที่ปลอดภัย เมืองไหนที่น่ากลัว ฯลฯ

ที่สำคัญ ทั้งเบสท์ ตั้ม ปะป๊า และแม่ เราต่างมีความเห็นตรงกันว่า นี่คืออีกช่วงเวลาสำคัญของน้องสาวคนกลางของเรา ถ้าเค้าอยู่อินเดียได้ เชื่อว่าต่อไปเค้าจะต้องโตขึ้น และอยู่ในที่ไหนๆก็ได้เป็นแน่ เพราะพวกเรา 4 พี่น้อง เบสท์-ตั้ม-เกม-เฟิร์น .. เกมจะมีนิสัยใกล้เคียงคำว่าคุณหนูที่สุด เช่น ติดทานหรู หรือถ้าศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้ก็คงเรียกได้ว่า เกมค่อนข้างฟรุ้งฟริ้งกว่าพี่น้องคนอื่นๆ หลังจากตัดสินใจกันในบ้านแล้วว่า เลือกอินเดีย เป็นเป้าหมาย แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเลือกเมืองใดเป็นปลายทาง ในเมื่ออินเดียมันออกจะกว้างใหญ่ไพศาล แล้วเราก็พบว่า "เมืองบังกาลอร์" เป็นเมืองสุดฮิตของนักเรียนไทย ชื่อเมืองคุ้นหู อยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย และได้ชื่อว่าเป็น Silicon Valley แห่งเอเชีย หรือเรียกได้ว่า บังกาลอร์ เป็นเมืองศูนย์กลางแห่งไอทีของอินเดียนั่นเอง

แต่!! เราไม่ได้เลือกส่งน้องไปเรียนที่บังกาลอร์ค่ะ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าเราไม่นิยมเลือกเหมือนคนส่วนใหญ่ เราก็ยังคงหาข้อมูลต่อ และเราก็ได้เจอสถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่งที่มุมไบ เอ๊ะ!! เมืองนี้น่าสนใจ จริงๆแล้วเมืองนี้เปลี่ยนชื่อมาจาก บอมเบย์ (Bombay) และเป็นสถาบันภาษาที่ได้มาตรฐานแห่งเดียวในมุมไบ ซึ่งมุมไบตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย และเปรียบได้ว่าเป็นเมืองศูนย์กลางทางการเงินของอินเดียด้วยค่ะ

หลังจากนั้นได้ลองหาข้อมูลดู พบว่าที่นี่มีนักเรียนไทยไม่มาก ดีละ!! เพราะน้องสาวคนกลางของเราเป็นคนพูดเก่ง ช่างเม้าส์ ขืนอยู่แต่กับเพื่อนคนไทยด้วยกันมากๆ รับรองว่าภาษาอังกฤษคงไม่ได้พัฒนาขึ้นแน่ๆ

สาเหตุที่มุมไบมีนักเรียนไทยไม่มาก เพราะค่าเรียนรวมค่าที่พักของที่นี่ สูงกว่าที่บังกาลอร์เกือบเท่าตัวค่ะ แต่ก็ยังอยู่ในงบที่เราตั้งกันไว้ เราก็เลยเลือกส่งเกมไปปล่อยเกาะ เอ้ย!! ส่งเกมไปพัฒนาภาษาอังกฤษที่มุมไบนั่นเองค่ะ

หกเดือนกว่าผ่านไป หลังจากเกมกลับมาถึงเมืองไทย ประจวบเหมาะกับพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเพิ่งเปิดกิจการโรงแรมใหม่ติดริมน้ำโขง โรงแรมสบาย@เชียงแสน จ.เชียงราย (ขอแอบโฆษณา ใครมาเที่ยวแถบนี้ แวะมาอุดหนุนได้นะคะ) ซึ่งในช่วงแรกเกมได้มีโอกาสไปช่วยงาน และรับลูกค้าต่างชาติของโรงแรม ทำให้เบสท์ได้เห็นถึงพัฒนาการที่เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก แทบจะเรียกได้ว่าคนละคนกับก่อนไปเลย จากเดิมที่เห็นฝรั่งถ้าไม่เดินหนี ก็ทำเป็นมองไม่เห็น แต่ทุกวันนี้กลายเป็นได้เจอก็อยากทักทาย ถามไถ่ว่ามาจากไหน ชวนคุย ตามประสาคนช่างเม้าส์ ทำให้ครอบครัวเราคิดได้เลยว่า คิดไม่ผิดจริงๆที่ได้ส่งน้องไปเรียนภาษาอังกฤษมา แทบจะพูดเลยว่า "6 เดือน เปลี่ยนชีวิต" จริงๆค่ะ

ดู 135 ครั้ง
Recent Posts
อ่านทั้งหมด
bottom of page